1. กำหนดวัตถุประสงค์และระยะเวลาการลงทุน
เนื่องจากตราสารหนี้มีมากมายหลายประเภท การเลือกตราสารหนี้ที่เหมาะสมและคุ้มค่าผู้ลงทุนต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ชัดเจนก่อนการลงทุน
- วัตถุประสงค์ในการลงทุนคืออะไร?
- สามารถรับระดับความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน?
- ต้องการผลตอบแทนที่คาดหวังสูง ต่ำ หรือปานกลาง?
- มีระยะเวลาในการลงทุนนานเท่าใด?
- จะลงทุนในตราสารหนี้ประเภทเดียวหรือหลายประเภท?
ดังนั้น ก่อนจะลงทุนตราสารหนี้แบบไหนควรศึกษาลักษณะต่างๆ ให้ดีก่อน เพราะตราสารหนี้แต่ละประเภทก็มีเงื่อนไขการลงทุนและผลตอบแทนที่แตกต่างกัน เราควรเลือกประเภทที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของเราให้มากที่สุด
2. ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานต่างๆ เกี่ยวกับตราสารหนี้
ผู้ลงทุนจำเป็นต้องศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานต่างๆ เกี่ยวกับตราสารหนี้ให้ดีก่อนเริ่มลงทุน ไม่ว่าจะเป็น
- ภาวะเศรษฐกิจ ณ ขณะนั้น
- สถานการณ์ของตลาดตราสารหนี้โดยทั่วไป
- ข้อมูลของบริษัทผู้ออก และอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออก
- สภาพคล่องของตราสารหนี้
- ฯลฯ
โดยทั่วไปตราสารหนี้ภาครัฐมักมีสภาพคล่องที่สูงกว่าตราสารหนี้ภาคเอกชน และตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ได้รับอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่า Investment Grade หรือไม่มีการจัด Rating จะมีสภาพคล่องต่ำ ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาความเสี่ยงด้านสภาพคล่องหรือความเสี่ยงที่ไม่สามารถขายตราสารหนี้ในเวลาที่ต้องการ หรือขายได้ในราคาต่ำก่อนการลงทุนเสมอ
ระดับเครดิต |
TRIS & FITCH |
สูงสุด |
AAA |
สูง |
AA+
AA
AA-
|
ปานกลาง-สูง |
A+
A
A-
|
ต่ำ-ปานกลาง |
BBB+
BBB
BBB-
|
เก็งกำไร |
BB+
BB
BB-
|
เก็งกำไรอย่างสูง |
B |
เสี่ยงสูงมาก |
CCC+
CCC
CCC-
|
เก็งกำไรชัดเจน |
C |
ไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ |
D |
ตราสารหนี้ของภาครัฐถือเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยไม่มีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ (Risk-fee) เนื่องจากมีรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ออกตราสารหนี้ ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนนักลงทุนสามารถที่จะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทที่สนใจลงทุนได้จาก อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit rating) ดังตาราง ซึ่งจะเห็นว่ายิ่งอยู่ในอันดับที่สูงก็ยิ่งมีความเสี่ยงต่ำ
AAA |
อันดับเครดิตสูงที่สุด ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำที่สุดในการที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
|
AA |
อันดับเครดิตรองลงมา มีความเสี่ยงต่ำมากในการที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
|
A |
ความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำ
|
BBB |
ถือว่ามีความเสี่ยงและความสามารถในการชำระหนี้ในระดับปานกลาง
|
BB |
มีความเสี่ยงในระดับสูง
|
B |
มีความเสี่ยงในระดับสูงมาก |
C |
มีความเสี่ยงในระดับสูงที่สุด |
D |
อยู่ในสถานะของการผิดนัดชำระหนี้ |
หมายเหตุ : โดยปกติ อันดับเครดิต “BBB” หรือ “Baa” จัดเป็นอันดับที่ลงทุนได้ หรือ Investment Grade หากอันดับเครดิตต่ำกว่านี้ ความเสี่ยงจะสูงขึ้นจัดเป็น ระดับเก็งกำไร หรือ Speculative Grade
-
รัฐบาล / หน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจะประกอบไปด้วย 3 องค์กรย่อย ได้แก่
-
รัฐบาล(Government)
-
ตั๋วเงินคลัง (Treasury bill): เป็นตราสารหนี้ระยะสั้น มีอายุไม่เกิน 365 วัน
-
พันธบัตรรัฐบาล (Loan bond): เป็นตราสารหนี้ระยะยาว มีอายุตั้งแต่ 365 วัน
-
ธนาคารแห่งประเทศ (Bank of Thailand)
-
ตั๋วเงินธนาคารแห่งประเทศไทย (Central bank bill): เป็นตราสารหนี้ระยะสั้น มีอายุไม่เกิน 365 วัน
-
พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (Bank of Thailand bond): เป็นตราสารหนี้ระยะยาวมีอายุตั้งแต่ 365 วัน
-
รัฐวิสาหกิจ (State-owned-enterprise)
-
พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ (State-owned-enterprise bond): เป็นตราสารหนี้ระยะยาว มีอายุมากกว่า 365 วัน
-
บริษัทเอกชน (Corporate company) ตราสารหนี้ที่ออกโดยกลุ่มนี้จะเรียกโดยรวมว่า หุ้นกู้ (Corporate bond)ทั้งนี้ สามารถเลือกออกเป็นระยะสั้น ซึ่งมีอายุไม่เกิน 270 วัน หรือ ระยะยาว ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 270 วัน ก็ได้
-
องค์กรต่างประเทศ (Foreign) ตราสารหนี้ที่ออกโดยกลุ่มนี้จะเรียกว่า ตราสารหนี้ต่างประเทศ (Foreign bond) โดยอาจจะเป็นบริษัทต่างชาติ หรือ หน่วยงานภาครัฐต่างชาติก็ได้ ส่วนใหญ่มักออกเป็นตราสารหนี้ระยะยาว
แบ่งตามลำดับสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้
วิธีอ่านสัญลักษณ์ตราสารหนี้ระยะยาว
สัญลักษณ์ TRUE174A หมายถึง หุ้นกู้ระยะยาวของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนเมษายน ค.ศ. 2017 เป็นหุ้นกู้รุ่นแรกของบริษัทที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนและปีดังกล่าว
วิธีอ่านสัญลักษณ์ตราสารหนี้ระยะสั้น
สัญลักษณ์ BEC17612A หมายถึง ตั๋วแลกเงินของบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 2017 เป็นหุ้นกู้รุ่นแรกของบริษัทที่ครบกำหนดไถ่ถอนในวัน เดือนและปีดังกล่าว
3. ตัดสินใจซื้อขายตราสารหนี้
ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ 3 วิธี คือ ลงทุนตราสารหนี้ในตลาดแรก ลงทุนตราสารหนี้ในตลาดรอง หรือลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้
ลงทุนตราสารหนี้ในตลาดแรก
เป็นการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกขายเป็นครั้งแรกในตลาด ซึ่งจะมีความแตกต่างกันระหว่างการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและตราสารหนี้ภาคเอกชน ดังนี้
ตราสารหนี้ภาครัฐ
การจองซื้อ
-
ประเภทผู้ลงทุน: ผู้ลงทุนทั่วไป
-
ตราสารหนี้ที่ซื้อได้: พันธบัตรออมทรัพย์
-
เงินลงทุนขั้นต่ำ: 1,000 บาท
-
ตัวแทนจำหน่าย (Selling Agent): ธนาคารพาณิชย์ 4 แห่ง (BBL/KBANK/KTB/SCB)
การประมูล
-
ประเภทผู้ลงทุน: ผู้ลงทุนสถานบัน
-
ตราสารหนี้ที่ซื้อได้: พันธบัตรประเภทต่างๆ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ฯลฯ
-
เงินลงทุนขั้นต่ำ: ไม่ระบุ
-
ตัวแทนจำหน่าย (Selling Agent):
- ธนาคารพาณิชย์ 14 แห่ง
- บริษัทหลักทรัพย์ (บล. หรือโบรกเกอร์) 29 แห่ง
-
วิธีการประมูล:
- ประมูลแบบแข่งขันราคา (Competitive Bid)
- ประมูลแบบไม่แข่งขันราคา (Non-Competitive Bid)
ตราสารหนี้ภาคเอกชน
การเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering: PO)
-
ประเภทผู้ลงทุน: ผู้ลงทุนทั่วไป
-
เงินลงทุนขั้นต่ำ: 50,000-100,000 บาท
-
ตัวแทนจำหน่าย (Selling Agent): ธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากบริษัทผู้ออก
-
การจัดอันดับตราสารหนี้: มี
การเสนอขายให้แก่ผู้ซื้อในวงจำกัด (Private Placement: PP)
-
ประเภทผู้ลงทุน:
-
ผู้ลงทุนสถาบัน หรือผู้ลงทุนรายใหญ่
-
ผู้ลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงไม่เกิน 10 ราย
-
เงินลงทุนขั้นต่ำ: ไม่ระบุ
-
ตัวแทนจำหน่าย (Selling Agent): ธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากบริษัทผู้ออก
-
การจัดอันดับตราสารหนี้: ไม่จำเป็นต้องมี
ลงทุนตราสารหนี้ในตลาดรอง
เมื่อตราสารหนี้ผ่านการซื้อขายไปสู่ผู้ลงทุนในตลาดแรกแล้ว หากมีการซื้อขายเปลี่ยนมือ จะเป็นการซื้อขายในตลาดรองโดยสามารถซื้อขายได้ 2 ช่องทาง คือ
ซื้อขายแบบ Over the Counter (OTC)
ผู้ที่สนใจจะซื้อหรือขายตราสารหนี้สามารถติดต่อกับ ผู้ค้าตราสารหนี้ (Dealers) ซึ่งปัจจุบันมีธนาคารพาณิชย์ 14 แห่ง และบริษัทหลักทรัพย์ (บล. หรือโบรกเกอร์) 29 แห่ง เพื่อแจ้งความประสงค์และทำการซื้อขายโดยตรง ซึ่งส่วนใหญ่ จะเป็นการซื้อขายระหว่าง
- ผู้ค้าตราสารหนี้ด้วยกัน
- ผู้ค้าตราสารหนี้กับผู้ลงทุนสถาบัน
ซื้อขายผ่านตลาดตราสารหนี้ (Thai Bond Exchange: TBX)
- เปิดบัญชีซื้อขายกับบริษัทหลักทรัพย์
-
ส่งคำสั่งซื้อขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์
ระบบ AOM |
ระบบ Trade Report |
ไม่เกิน 10,000 หน่วย หรือ 10,000 บาท |
เกิน 10,000 หน่วย หรือ 10,000,000 บาทขึ้นไป |
-
บริษัทหลักทรัพย์แจ้งยืนยันผลการสั่งซื้อขาย
-
ชำระเงินและรับมอบหลักทรัพย์ในวันทำการที่ 2 หลังจากวันที่มีการซื้อขาย (T+2) โดยค่าคอมมิชชั่นไม่เกิน 0.25% (ไม่รวม VAT)
ลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้
เหมาะสำหรับผู้ลงทุนรายย่อย เนื่องจากใช้เงินลงทุนไม่มาก อีกทั้งยังสามารถเลือกเงื่อนไขในการขายคืนหรือจะถือจนครบกำหนดอายุก็ได้ ทำให้สะดวกต่อการบริหารเงิน หากลงทุนในกองทุนเปิดจะได้รับความสะดวกในเรื่องสภาพคล่องและได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่อย่างไรก็ดี กองทุนรวมตราสารหนี้ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน โดยกรณีที่ราคาตราสารหนี้เปลี่ยนแปลง NAV ของกองทุนรวม และราคาซื้อขายของหน่วยลงทุน ก็จะเปลี่ยนแปลงด้วย
ขั้นตอนการซื้อขายตราสารหนี้ ผ่านกองทุนรวม
4. ติดตามผลการลงทุน
หลังจากที่ผู้ลงทุนตัดสินใจซื้อหรือขายเรียบร้อยแล้ว อย่าลืม "ติดตามผลการลงทุน" และ "ติดตามข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการลงทุน" อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะข่าวในแวดวงตลาดตราสารหนี้ หรือบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ เพราะการที่ผู้ลงทุนมีข้อมูลที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือ และทันต่อเหตุการณ์ จะทำให้สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนได้ทันท่วงที
จะเห็นว่าการลงทุนใน "ตราสารหนี้" เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะผู้ซื้อตราสารหนี้ จะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ซึ่งจะได้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ และได้เงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดอายุ